วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ลัทธิโฟวิสต์ (Fourism)

 ลัทธิโฟวิสต์ (Fourism)


ลัทธินี้ ศิลปินมีการสร้างผลงานที่แสดงถึงความป่าเถื่อน ความรุนแรงของสังคมมนุษย์ คนอยู่ในสภาวะเก็บกด เลือกเอาสัตว์มาเป็นเรื่องราวในการเขียนรูป แสดงความรู้สึกของคนที่มีต่อสัตว์ มีความเอ็นดู สงสารสัตว์
The Joy of Life

ลัทธิฟิวเจอร์ริสม์ (Futurism)

ลัทธิฟิวเจอร์ริสม์ (Futurism)

ลัทธิ นี้มีความเชื่อว่า ชีวิตปัจจุบันเกี่ยวข้องกับความเร็ว เครื่องจักร เครื่อง ทุ่นแรงต่างๆ ศิลปินมักมีการวาดภาพที่แสดงความเร็วของคนหรือสัตว์  เครื่องจักร โดยพยายามเน้นความหมายของอนาคต
"Horse and Rider or Red Rider (Il cavaliere rosso)"

ลัทธิ เซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism)

 ลัทธิ เซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) 


ลัทธินี้มีความเชื่อว่า ความจริงของมนุษย์ไมได้เกิดที่การรับรู้เพียง อย่างเดียว คุณค่าอยู่ที่ความหวัง ความฝัน  ความต้องการที่ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะถูกสังคมบังคับ มีความรู้สึกเก็บกด  ศิลปินจึงมักวาดภาพตามความฝัน จินตนาการของตน ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  อังเดร เบรตอง(Andre  Breton)
Ubu Imperator

ลัทธิเอ๊กซ์เพรสชั่นนิสม์ (Expressionism)

ลัทธิเอ๊กซ์เพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) (เกิดราว ค.ศ. 1920)


ศิลปินมีการสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงความรู้สึกต่างๆและความประทับใจในธรรมชาติลงฉับพลัน ทั้งความรู้สึกรุนแรง บ้าระห่ำ เกลียดชัง ทารุณ ความเจ็บปวด ทางร่างกาย ทรมาน น่าเกลียดน่ากลัว เป็นการมองโลกในแง่ร้าย มีความเชื่อมั่น แสงสี การรับรู้โลกภายนอก ตอบสนองด้วยความรู้สึกของตนเอง ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น รูโอล  (Rioalt)  โดคอซกา (Kokoschka)  เดียโก ริ เวรา (Diego Rivera)และ บลูม (Blume)
The Scream

ลัทธิแอสแตรค (Astract)

  ลัทธิแอสแตรค (Astract) 

มาจาก แอบสแตรค  ที่หมายถึง นามธรรม  ศิลปินมีการสร้างสรรค์ผลงานโดยการคำนึงถึงเส้นและสีเท่านั้น มีลวดลายคล้ายลายผ้า  ลายพรม หรือ ลายกระเบื้องปูพื้น  ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  คองดินสกี(Kandinsky)   มองดีออง (Mondrian)   และ  วิลอง (Villon)
Murnau with Church

ลัทธิคิวบิสม์ (Cubism)

ลัทธิคิวบิสม์ (Cubism)


ลัทธิ นี้ ศิลปินต้องการแสดงถึงความยุ่งเหยิง ภาพส่วนใหญ่มีรูปทรงเรขาคณิต และ มักเป็นทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ ปิกาสโซ (Picasso) เขาเกิดที่สเปน แต่ย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสในภายหลัง เขาชอบวาดภาพแบบเซซานและโล เทรค นิยมใช้สีชมพูและสีฟ้าเป็นหลัก ต่อมาเขาเริ่มมีผลงานที่เป็นแนวคิว บิสม์เด่นชัดมากขึ้น เริ่มวาดภาพคน ชายหรือหญิงที่ตัวใหญ่ๆ มีเรือนร่างผิดปกติ มีรูปทรงแบบเรขาคณิต มีตา จมูก ปาก สลับที่กัน  ปิกาสโซได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้ บุกเบิกแนวศิลปะสมัยใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม
ภาพผู้หญิงร้องไห้

ลัทธิโพสต์ อิมเพรสชั่นนิสต์(Post Impressionism)

ลัทธิโพสต์ อิมเพรสชั่นนิสต์(Post Impressionism) (เกิดราวตอนปลายศตวรรษที่ 19) 


เป็นลัทธิที่เป็นการนำเสนอผลงานศิลปะแบบสมัย ใหม่   มีศิลปินที่สำคัญคือ โกแกง(Cauguin)   แวนโก๊ะ หรือ ฟาน ก๊อก(Van Gogh) และ เซซาน (Cezannc)ในที่นี้ขอกล่าวถึงแวนโก๊ะเพียงคนเดียว เพราะเขาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ผลงานของเขาได้รับการยกย่องว่า งดงามที่สุดจนไม่มีจิตรกรท่านใดเทียบเคียงได้  แวนโก๊ะเกิดในฮอลันดา  เขาเป็นคนชอบวาดภาพ  ภายหลังย้ายมาอยู่ที่ฝรั่งเศส  เขาเอาแต่เขียนภาพ  ไม่สนใจตัวเองหรือสิ่งใดเลย แม้กระทั่งสุขภาพของตนเอง  เขาจึงมีสติวิปลาสถึงขนาดเคยตัดหูตนเอง เคยเอาเลือดของคนเองมาวาดรูป ในปี 1890 เขามีสติฟั่นเฟือนมากขึ้น จึงฆ่าตัวตาย รูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานของเขามีการลงสีเป็นลายหนาๆ  สี สดฉูดฉาด  ภาพพื้นหลังมีลายหมุนเวียน และมีการแต้มจุด  ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขามีมากมาย  เช่น  ภาพชาวบ้านฮอลันดา  ภาพตัวเขาเอง  ภาพท้องฟ้ากลางคืนที่มีดาวระยิบระยับ
Daubigny's Garden

ลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism)

 ลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) (เกิด เมื่อ ค.ศ.1875)

ลัทธินี้  ถือเอาความงามที่ประทับใจเป็นคุณค่า  ศิลปินตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานเพียงเพื่อแสดงความรู้สึกทางประสาทที่ ได้รับจากสิ่งต่างๆ   มองใกล้อาจไม่สวยงาม  แต่ ถ้ามองไกลก็จะเห็นเป็นรูปร่างสวยงาม  มีการลงสีโดยไม่ต้องอาศัยการร่างก่อนคำนึงถึงเฉพาะเรื่องของแสงสี ต้องอาศัยแสงและเวลา  เช่น เช้า กลางวัน เย็น ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  โมเนท์ (Monot) (ค.ศ.1840 - 1926) เขาชอบวาดภาพสิ่งๆหนึ่งซ้ำหลายๆหน บรรยากาศและเวลาแตกต่างกัน   เช่น ภาพวัดคาเทคราลรูอังที่มีเวลาต่างกัน  เช้า กลางวัน เย็น   ภาพสระน้ำที่เต็มไปด้วยดอกบัว (LOTUS NYMPHCAS) ศิลปินอีกคน คือ เซอร์ราท(Soret) (ค.ศ.1849 - 1891) เขามักวาดภาพโดยใช่พู่กันแต้มสีน้ำมันลงไปเป็นจุดๆ เป็นระยะ  เมื่อเวลาดูจะเห็นว่าสีสันต่างๆเกิดการผสมด้วยตาของตนเอง  จนมีการเรียกว่า จุดมหัศจรรย์ของเซอร์ราท  ภาพที่มีชื่อเสียง คือ สวนสาธารณะ
Woman in a Garden

ลัทธิไอเดียลลิสม์ (IDEALISM)

 ลัทธิไอเดียลลิสม์ (IDEALISM) (เกิด เมื่อ ค.ศ.1860)


ศิลปินในลัทธิไอเดียลลิสม์ จะมีทัศนคติในการสร้างผลงานดังนี้ คือ แสดงให้เห็นแง่ดีของชีวิต แสดงความคิดนึกฝันหรือความรู้สึก ลัทธินี้ประกอบ กันหลายชนชาติที่มีทัศนคติตรงกัน ศิลปินที่มีชื่อเสียงมาจากหลากหลาชาติ เช่น คอร์นีเลียส(Cornelius) ชาวเยอรมัน เขาชอบวาดภาพหญิงสาวโดยใช้เส้นที่ อ่อนหวานและใช้สีอ่อนๆ มิลเลซ์ (Millais) ชาวอังกฤษ  เขาชอบวาดภาพโดยเก็บรายละเอียดเสียจนภาพนั้นคล้ายกับภาพถ่าย ภาพที่มีชื่อ เสียงคือ ดอกไม้ริมลำธาร กุสตาฟ  มอโร(Gustave Moreay) ชาวฝรั่งเศส   เขาชอบวาดภาพจากจินตนาการของเขา ภาพที่มีชื่อเสียงคือ ความฝันของซาโลเม (LA VISLON DESALOME)


ลัทธิเรียลลิสม์ (Realism)

ลัทธิเรียลลิสม์ (Realism)(เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1850)

ลัทธิ นี้ ศิลปินจะยึดในหลักความเป็นจริงหรือการแสดงความจริงซึ่ง ก้าวสู่ความก้าว หน้าของวิทยาศาสตร์ โดยศิลปินมักจะสร้างสรรค์ผลงานออกมาเป็นลักษณะเดียว กันเช่น ชอบวาดภาพคนจนๆ คนชั้นต่ำ มีการเยาะเย้ยหรือล้อสังคมของคนชั้นกลางที่ร่ำ รวยและ ศิลปินเกือบทุกคนมีสัญชาติฝรั่งเศส ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น โดเม(DAUMEI)(ค.ศ. 1808 - 1897) เป็น ศิลปินที่มีภาพวาดเป็นที่โดดเด่นและมีประชาชนสนใจเป็นจำนวนมากทำ ให้ประชาชน มองเห็นอำนาจป่าเถื่อนกดขี่ของทหารหรือตำรวจในเครื่องแบบ ชี้ ให้เห็นถึงความ ฟอนเฟะของสังคมหรือความสกปรกของนักการเมือง โดเมได้วาดภาพการ์ตูนล้อเลียน การเมืองหนัก จนถึงขนาดเป็นภาพเสียดสีการทำงานของ รัฐบาล จนถูกรัฐบาลสั่งจำคุกหลายครั้ง ภาพที่มีชื่อเสียงเช่น ภาพถนนทรองซโนแนง (LA RUE TRANSNONAIN)ภาพ คนถูกยิงตายโดยทหาร ศิลปินอีกคนคือ คัวเบาท์ (Courbet) (ค.ศ.1819 - 1877)เขา เป็นหัวหน้ากลุ่มเรียลลิสม์ ได้เข้าร่วมกับพวกปฏิวัติฝรั่งเศสโดย ใช้การเขียนภาพเยาะเย้ยล้อเลียนคนชั้นสูงกับคนชั้นกลาง มีการวาดภาพล้อเลียนถากถางคนชั้นปกครองระดับผู้นำรัฐบาล เขา จึงถูกคุมขังและต่อมา จึงโดนเนรเทศออกจากฝรั่งเศส ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น ภาพทางเดินเล่นริมแม่น้ำเซนต์ (LA PROMENADE AU BORD DE LA SENE)   ภาพ ภาพการฝังศพที่ออนองส์ (I ENTER EMENT AORNANS) ศิลปินอีกคนคือ มาเนท์ (Manet) (ค.ศ.1822 - 1883) เขาชอบวาดภาพที่แสดงถึงชีวิตธรรมดาของชนทุกชั้น ภาพที่เห็นมักเป็นภาพพวก ร้านกาแฟเล็กๆ การเต้นรำของสามัญชนทั่วไปภาพนางระบำสเปน และภาพโอลิมเปีย(L’ OLYMPIA) หรือ หญิงเปลือยท่อนบน
A Real Allegory 

ลัทธิโรแมนติค (Romantic)

 ลัทธิโรแมนติค (Romantic)(เกิดเมื่อ ค.ศ.1820) 
ลัทธินี้ เกิดจากศิลปินมีความเบื่อหน่ายความจริงแบบสมัยกรีก โรมัน หรือ ศิลปะแบบคลาสสิค    ศิลปินในกลุ่มนี้จึงชอบสร้างผลงานที่ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติตามกันอยู่ ในคติที่ว่า  ผลงานที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้  คือ เลิกใช้ภาพแบบประวัติหรือเทพนิยายกรีกแบบโบราณ  รูปที่วาดจะมีคุณค่าได้จะต้องเหมือนเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หรือ เป็นเรื่องตื่นเต้น  และรูปวาดนั้นจะต้องเป็นเรื่องเหตุการณ์ในยุคกลาง   ชอบ แสดงความรู้สึกรุนแรงยุ่งเหยิง  ศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น  เจริโคท์(Gericault)(ค.ศ.1719 - 1824) เป็นศิลปินที่ชอบสร้างสรรค์ผลงานที่น่ากลัว และตื่นเต้น ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น แพเมดูซา   ภาพหญิงชายชาวอัสจิเรีย   ภาพม้ากำลังเผ่นผงาด ศิลปินคนต่อมา คือ เดราคัว(Deracroux) ผลงาน ที่มีชื่อเสียงของเขา   เช่น  ภาพโชแปง ซึ่งเป็นนักดนตรีชื่อดัง    ภาพการประหารชีวิตที่แสดงถึงความเหี้ยมโหด   ศิลปิน อีกคน คือ โกย่า(Goya) (ค.ศ. 1746 - 1828) เป็นศิลปินชาวสเปน  ที่มีผลงานเป็นภาพวาดประเภทน่าเกลียด น่ากลัว แสดงถึงความทรมาน   ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น  ภาพการประหารกบฏสเปน  โดยพวกฝรั่งเศส  ภาพคนบ้า  หญิงชราที่น่าเกลียดน่ากลัว  ภาพการฆ่าฟันในสงคราม  ภาพการแทงวัวกระทิง  ภาพมายาแต่งกายและภาพมายาเปลือยกาย


 The Raft of the "Medusa"

ลัทธินีโอคลาสสิค (Neo-Classic)

ลัทธินีโอคลาสสิค (Neo-Classic)(ค.ศ.1800)

ลัทธินี้ ศิลปินเกิดหวนกลับไปมีค่านิยมการสร้างผลงานแบบกรีกและโรมันอีกครั้ง  ซึ่งศิลปินเหล่านี้ชอบความเรียบร้อยและเคร่งครัดในศิลปะแบบโบราณ  ลักษณะผลงานของลัทธินีโอคลาสสิค  คือ มักเป็นภาพที่มีระยะใกล้ กลาง ไกล หรือที่เรียกว่า Perspective   ฉากหลังรูปวาดส่วนใหญ่มักมีอาคาร หรือ เสา ของกรีกหรือโรมัน  มัก ใช้สีมืดๆเป็นระยะ  เน้นหนักไปทางสีน้ำตาล ดำ เขียวและขาว   ศิลปะแบบนีโอคลาสสิครุ่งเรืองอยู่ได้เพราะได้รับการส่งเสริมจากระบอบ ปฏิวัติของพระเจ้านโปเลียน  พวกที่ปฏิวัติเองก็ชอบส่งเสริมให้มีการดำรงชีพที่เคร่งครัดแบบกรีกและโรมัน  ศิลปินที่มีชื่อเสียงคือ เดวิด(David)(ค.ศ. 17481825)  เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศส  ผลงานของเขามักเป็นการวาดภาพที่แสดงถึงความกล้าหาญของวีรบุรุษ   เช่น  LE  SERMENT  DES  HORACES , LA MORTDE   MARAT   คนต่อมาคือ แองก์(Ingres) (ค.ศ.1780-1867) ผลงานของเขาเป็นแบบคลาสสิคเต็มที่  เขามักวาดภาพคนที่ร่ำรวย หน้าตาโหดหี้ยมและพอใจในอำนาจเงินและภาพวาดหญิงสาวเปลือยของเขานั้นสวยงามมาก    และแองก์ยังได้วาดภาพเกี่ยวกับเทพนิยายโบราณอีกด้วย


 LE  SERMENT  DES  HORACES